การพัฒนาระบบส่งยาแบบลิโพโซมที่กระตุ้นด้วยแสงสำหรับสารสกัดมะขามป้อมเพื่อการรักษาโรคสะเก็ดเงิน


หัวหน้าโครงการ


ผู้ร่วมโครงการ

ไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง


สมาชิกทีมคนอื่น ๆ

ไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง


รายละเอียดโครงการ

วันที่เริ่มโครงการ01/10/2023

วันที่สิ้นสุดโครงการ30/09/2024


คำอธิบายโดยย่อ

การรักษาโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) ตามวิธีมาตรฐานคือการรักษาด้วยยาทาในกลุ่มcorticosteroid ซึ่งเมื่อใช้เป็นระยะเวลานานทำให้ผิวบาง (Steroid atrophy) เกิดอาการติดสเตียรอยด์ ไม่สามารถรักษาให้ทุเลาได้ด้วยปริมาณยาเท่าเดิม และอาจทำให้เกิดปรากฏการณ์สะท้อนกลับ (Rebound phenomenon) อีกวิธีการรักษาคือ การใช้ยารับประทาน methotrexate อาจทำให้เกิดการกดไขกระดูก (Bone marrow suppression) ปัสสาวะเป็นเลือด และภาวะ hepatic fibrosis ปัจจุบันมีการพัฒนายาฉีดกลุ่ม biologic หรือยาโมโนโคลนอล แอนติบอดี (Monoclonal antibody) ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีประสิทธิภาพการรักษาดีมาก แต่มีราคาสูงและต้องได้รับการฉีดบ่อยครั้ง ดังนั้นแพทย์และผู้ป่วยจึงมีความสนใจในการรักษาโรคสะเก็ดเงินด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด (Natural treatment) หรือการใช้สารสกัดจากพืชและสมุนไพรเป็นวิธีการรักษาทางเลือกซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยสามารถหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากการรักษาตามมาตรฐาน การใช้วิธีธรรมชาติบำบัดมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าและมีบทความวิจัยหลายฉบับรายงานฤทธิ์ในการรักษาโรคสะเก็ดเงินด้วยการใช้สารสกัดจากพืชและสมุนไพรต่างๆ เช่น การใช้สารสกัดจากใบน้อยหน่า, สารสกัดจากผลมะขามป้อม, ขมิ้นชัน,เทียนดำ, โมกมัน ฯลฯ 

      สารสกัดจากผลมะขามป้อม (Phyllanthus emblica) เป็นหนึ่งในสารสกัดจากธรรมชาติที่มีสมบัติลดการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อราและแบคทีเรีย ปกป้องตับจากสารพิษ และได้รับการทดสอบระดับคลินิกด้วยวิธี modified psoriasis area and severity index (mPASI) แล้วว่าให้ประสิทธิภาพการรักษาเทียบเคียงกับยาทามาตรฐานกลุ่มcorticosteroid สารสกัดจากผลมะขามป้อมจึงมีศักยภาพสูงที่สามารถนำปพัฒนาต่อยอดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาและลดระดับ mPASI หรือความรุนแรงของโรคสะเก็ดเงินที่แสดงออกได้เช่น ความเป็นขุย ความหนา และผื่นแดงให้น้อยลงอีกและก้าวสู่การเป็นตำรับยาหลักได้ สองคือมะขามป้อมสามารถเพาะปลูกได้ภายในประเทศไทยและมีศักยภาพทางการตลาดสูง การพัฒนาสารสกัดจากผลมะขามป้อมจึงไม่เพียงแต่จะช่วยเหลือผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินกว่าร้อยละ 1 ถึง 3 ของประชากรโลก ให้มีทางเลือกในการรักษาที่ดี มีประสิทธิภาพในการรักษาสูง แต่ยังช่วยเพิ่มขีดศักยภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจของสมุนไพรไทยอีกด้วย ปัญหาหลักของการนำสารสกัดมะขามป้อมมาใช้คือการนำส่งยาไปยังจุดที่ต้องการรักษาเนื่องจากสารสกัดมะขามป้อมมีความไม่ชอบน้ำสูงและตกตะกอนได้ง่าย จึงทำให้การนำไปใช้จริงเกิดขึ้นได้ยากและทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาลดลง 

      หนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาการนำสารสกัดธรรมชาติมาใช้จริงคือการนำส่งระบบนำส่งลิโพโซม (liposomal delivery system) มาใช้ในการนำส่งสารออกฤทธิ์ ทางกลุ่มวิจัยได้มีการพัฒนาระบบนำส่งลิโพโซมจากฟอสฟาไทด์จากถั่วเหลือง (Soybean-phosphatide-based liposome) ที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ สามารถเคลื่อนที่หรือคอดผ่านช่องว่างระหว่าง corneocytes และนำส่งสารที่กักเก็บสู่ผิวหนังชั้นลึกได้ นอกจากนี้การผสมสารไวแสง (Photosensitizer) ในลิโพโซมทำให้สามารถกระตุ้นการปลดปล่อยสารจากลิโพโซมด้วยแสงผ่านการกระตุ้นทางเคมีเชิงแสงประเภท photocleavage ได้  ซึ่งการกระตุ้นการปลดปล่อยด้วยแสงช่วยให้สารประกอบออกฤทธิ์หนีออกมาจากเยื่อหุ้มลิโพโซมภายในเซลล์ และเพิ่มชีวปริมาณออกฤทธิ์ (Bioavailability) ได้ 

            จากเหตุผลที่ได้กล่าวถึงข้างต้น โครงการวิจัยนี้มุ่งพัฒนาสารสกัดจากผลมะขามป้อมให้มีประสิทธิภาพในการรักษาเพิ่มขึ้นโดยอาศัยระบบนำส่งลิโพโซมชนิดกระตุ้นได้ด้วยแสงสำหรับรักษาโรคสะเก็ดเงินในระดับห้องปฏิบัติการ โดยทางกลุ่มวิจัยจะสร้างแบบจำลองของโรคสะเก็ดเงินที่ใช้ศึกษาโดยใช้เซลล์ไลน์ HaCaT (Human keratinocyte cell line) ที่ถูกกระตุ้นด้วยไซโตไคน์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ (Proinflammatory cytokine) ซึ่งสามารถแสดงออกถึงพยาธิสภาพที่สอดคล้องกับโรคสะเก็ดเงิน ผลของงานวิจัยคือประสิทธิภาพของการรักษาโรคสะเก็ดเงินในระดับห้องปฏิบัติการ ซึ่งหากประสบความสำเร็จสามารถนำไปต่อยอดการทดสอบในระดับพรีคลินิก และระดับคลินิก เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ในอนาคตซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสมุนไพรไทย


คำสำคัญ

  • drug delivery
  • liposomes
  • nanoparticles
  • natural extracts
  • psoriasis


กลุ่มสาขาการวิจัยเชิงกลยุทธ์


ผลงานตีพิมพ์

ไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง


อัพเดทล่าสุด 2025-06-11 ถึง 09:42