โครงการการพัฒนาต้นแบบและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อเปลี่ยนของเสียและวัสดุเหลือทิ้งในอุตสาหกรรมการเกษตรและปศุสัตว์ เป็นไฮโดรเจนสีเขียวและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เพื่อรองรับอุตสาหกรรมการบิน
หัวหน้าโครงการ
ผู้ร่วมโครงการ
ไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
สมาชิกทีมคนอื่น ๆ
รายละเอียดโครงการ
วันที่เริ่มโครงการ: 01/03/2024
วันที่สิ้นสุดโครงการ: 28/02/2025
คำอธิบายโดยย่อ
จากการประชุมใหญ่ภาคีสมาชิกประจำปีครั้งที่ 26 ณ เมืองกลาสโกว์ (Glasgow) สหราชอาณาจักร (The 26th Conference of the Parties (COP) to the United Nations Framework Convention on Climate Change) หรือ COP26 ประเทศต่าง ๆ ได้มีการประกาศเจตนารมณ์ (Pledge) ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่เป้าหมายการเป็นประเทศ Carbon neutrality และ/หรือ Net-zero greenhouse gas emission เพื่อเร่งดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้สอดคล้องกับเป้าหมายของความตกลงปารีส ซึ่งประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ใน COP26 โดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emission) ภายในปี ค.ศ. 2065 (ONEP, 2021) ซึ่งจะเห็นได้ว่าการดำเนินการและการขับเคลื่อนในระดับต่าง ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นรูปธรรมมากขึ้นและมีผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของสังคม นอกจากข้อตกลงระหว่างประเทศในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว กลุ่มประเทศ European Union (EU) ได้ออกกฎหมายและมาตรการต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันทางการค้าของไทยอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ตัวอย่างมาตรการที่จะมีการนำมาบังคับใช้ เช่น มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ของสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งส่งผลต่อการส่งออกสินค้าของไทยเพราะมาตรการนี้เป็นเครื่องมือบังคับคู่ค้าให้มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ณ แหล่งผลิต เพื่อจัดการกับปัญหาคาร์บอนแฝงในสินค้าที่นำเข้ายุโรป (สำนักงานที่ปรึกษาการศุลกากร ณ กรุงบรัสเซลส์, 2563) และตัวอย่างกฎหมายที่จะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2023 คือ กฎหมายว่าด้วยการผลิตสินค้าที่ปลอดจากการทำลายป่า (เพื่อไม่ให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจก) ที่เสนอโดยคณะกรรมาธิการยุโรปในการห้ามจำหน่ายสินค้าที่มีความเสี่ยงต่อการทำลายป่า โดยบังคับใช้กับสินค้า 6 ประเภทแรก ได้แก่ ถั่วเหลือง เนื้อวัว น้ำมันปาล์ม ไม้ โกโก้ และกาแฟ (European Commission, 2021) และจะเพิ่มจำนวนสินค้าอื่น ๆ อีกในปีถัดไป ดังนั้นกฎหมายนี้ย่อมส่งผลต่อผู้ประกอบการทั้งในแง่ของผู้ผลิต ผู้แปรรูป และผู้ส่งออกไป EU อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนจึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมและตรวจสอบตลอดห่วงโซ่อุทานเพื่อสามารถดำเนินการให้สอดคล้องกับกฎหมายดังกล่าว
ในรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปีล่าสุด (ปี พ.ศ. 2562) ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 280,728.34 GgCO2eq โดยภาคการเกษตรและปศุสัตว์ของประเทศไทยปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 56,766.32 GgCO2eq ต่อปี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15 ของประมาณก๊าซเรือนกระจกจากทุกภาคส่วน โดยสูงเป็นลำดับที่ 2 รองจากการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงาน ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาได้มีการรวมตัวกันของแต่ละสมาคมที่ทำธุรกิจด้านปศุสัตว์และอาหารสัตว์ในประเทศไทยเพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยใช้ชื่อว่า “สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยและเครือข่าย (Thai Feed Mill Association and Consortium)” ซึ่งมีสมาชิกประกอบด้วย สมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย สมาคมผู้เลี้ยงโคนมไทยโฮลสไตน์ฟรีเชี่ยน สมาคมธุรกิจเวชภัณฑ์สัตว์ สมาคมสัตวบาลแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ฯ สมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย สมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสัตว์ปีก สมาคมสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มสัตว์เคี้ยวเอื้อง สมาคมสัตวแพทย์สัตว์น้ำไทย สมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารนมไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย สมาคมผู้เลี้ยงไก่พันธุ์ และสมาคมผู้เพาะเลี้ยงปลาไทย และได้มีการประกาศเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Climate Neutrality) ในปี ค.ศ. 2040
งานวิจัยในโครงการนี้มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ “กลุ่มเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้า” ที่สามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาบูรณาการเพื่อใช้ในภาคการเกษตรและปศุสัตว์อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ของสมาคมฯ โดยข้อได้เปรียบของภาคการเกษตรและปศุสัตว์คือมีของเสียและผลิตภัณฑ์พลอยได้เกิดขึ้นจากกระบวนการจำนวนมหาศาลและหลากหลายชนิด อันได้แก่ มูลสัตว์ ขยะอินทรีย์ เศษวัสดุชีวมวล ก๊าซชีวภาพ ซึ่งสามารถนำมาแปรสภาพเป็นพลังงานและสารเคมีสะอาดจำพวกไฮโดรเจนแอมโมเนียสะอาด เชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ (Sustainable Aviation Fuel; SAF) ปุ๋ยชีวภาพเพื่อขายเพิ่มรายได้หรือนำไปใช้ในกระบวนการเพื่อทดแทนการใช้พลังงานหรือปุ๋ยเคมีที่ซื้อจากภายนอก ซึ่งจะเป็นลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ในเวลาเดียวกัน จากการคำนวณเบื้องต้นการนำเศษฟางข้าวที่เป็นปัญหาฝุ่นละอองจากการเผาในที่โล่งเพียง 10% ของปริมาณฟางข้าวในประเทศหรือประมาณ 2 ล้านตันต่อปีมาแปรสภาพเป็น SAF จะเพียงพอต่อการใช้ในอากาศยานเพื่อบินไปภูมิภาคยุโรปทุกเส้นทาง ซึ่งจะสอบรับกับนโยบาย CBAM เป็นอย่างดี นอกจากนั้นหากนำหลักการด้าน Biorefinery และ Bioenergy with Carbon Capture, Utilization and Storage (Bio-CCUS) มาประยุกต์ใช้ร่วมเพื่อแยกส่วนและแปรสภาพเศษวัสดุทางการเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์สะอาดมูลค่าสูง เช่น บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ และ Functional Materials ราคาสูงจำพวก graphene และ metal-organic frameworks (MOFs) และดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากก๊าซเสียโรงงาน (Flue Gas) และนำไปใช้ประโยชน์ในกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ เช่น นำไปเลี้ยงสาหร่ายเพื่อผลิตโปรตีนอาหารสัตว์ นำไปใช้ในแปลงการเกษตรเพื่อเพิ่ม ผลผลิตทางการเกษตรก็จะสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพแบบเต็มรูปแบบ
คำสำคัญ
ไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
กลุ่มสาขาการวิจัยเชิงกลยุทธ์
ผลงานตีพิมพ์
ไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง