โครงการนำเสนอรูปแบบที่พักอาศัยของคนวัยเกษียณที่มีรายได้เป็นของตนเองเพื่อส่งเสริมสังคมพฤฒพลัง

ผู้สูงอายุมีการเสื่อมถอยทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม มีผลทำให้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับปัญหาหลักๆ 3 ประการ ได้แก่ ด้านสังคม ด้านสุขภาพ และปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ แต่ผู้ที่วางแผนชีวิตหลังเกษียณเป็นอย่างดีสามารถก้าวผ่านปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ คนกลุ่มนี้มีศักยภาพในการเลือกชีวิตหลังเกษียณ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาสัดส่วนและประเภทที่พักที่ผู้สูงอายุซึ่งมีรายได้เป็นของตนเองต้องการอย่างแท้จริง และเสนอแนะรูปแบบที่พักเพื่อส่งเสริมสังคมพฤฒพลัง ซึ่งเป็นแนวคิดแบบหลายชั้น (Multi-layered) รวมแง่มุมด้านกายภาพ ด้านสังคมและวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมของผู้คนต่อสิ่งแวดล้อม

การวิจัยเริ่มจากการรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิเกี่ยวกับผู้สูงอายุ กรณีศึกษารูปแบบที่พักผู้สูงอายุ ปัจจัยในการเลือกซื้อและปัญหาในที่พักผู้สูงอายุ และสำรวจความต้องการชุมชนที่พักผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลด้วยแบบสอบถาม พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุอยู่ระหว่าง 51-55 ปี สถานภาพสมรส ประกอบอาชีพพนักงานบริษัท มีรายได้ต่อเดือนอยู่ระหว่าง 20,001-35,000 บาท มีลักษณะครอบครัวเป็นครอบครัวเดี่ยว มีบุตร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุตรชาย มีสถานภาพการเงินที่พึ่งพาตนเอง มีเงินออม และสุขภาพแข็งแรง มีความต้องการเข้าพักอาศัยในบ้านพักผู้สูงอายุ ร้อยละ 14.5 คิดเป็น คิดเป็น 263,407 คน ตามสถิติกรมกิจการผู้สูงอายุ พ.ศ.2563

ประเภทที่พักอาศัยที่ผู้สูงอายุต้องการมากที่สุดคือบ้านเดี่ยว รองลงมาคืออพาร์ทเม้นท์ แบบกั้นห้องนอน 1 ห้อง  ห้องแถวชั้นเดียว และบ้านแฝด ตามลำดับ ลักษณะการครอบครองที่พักอาศัยแบบเช่าซื้อ เป็นที่ต้องการมากที่สุด โดยมีค่าเช่าซื้อก่อนการเข้าพักเฉลี่ย 140,744 บาท และค่าบริการรายเดือนเฉลี่ย 3,414 บาท รองลงมา คือ ขายขาด โดยมีราคาขายเฉลี่ย 1,092,925 บาท และค่าบริการรายเดือนเฉลี่ย 5,340 บาท  สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักที่ต้องการ ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์และตู้เย็น และควรมีที่นั่งเล่น/ดูทีวี ระเบียง และพื้นที่เตรียมอาหาร โดยในชุมชนที่พักผู้สูงอายุควรมีบริการ ได้แก่ ห้องพยาบาล บริการพาไปโรงพยาบาล สวนหย่อม และร้านสะดวกซื้อ และกิจกรรมที่ควรมี คือ งานอดิเรกที่ผู้เข้าพักชื่นชอบและการตักบาตร