การพัฒนาวัสดุซินทิลเลชันมัลติคอมโพเนนท์การ์เนตแบบใหม่สำหรับการประยุกต์ใช้ทำหัววัดรังสีแบบซินทิลเลชัน
หัวหน้าโครงการ
ผู้ร่วมโครงการ
สมาชิกทีมคนอื่น ๆ
รายละเอียดโครงการ
วันที่เริ่มโครงการ: 01/10/2020
วันที่สิ้นสุดโครงการ: 30/09/2021
คำอธิบายโดยย่อ
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไปปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
ปัจจุบันการใช้งานทางด้านรังสีมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแม่นยำ มีผลกระทบน้อย ตลอดจนมีความน่าเชื่อในทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เป็นผลให้มีการพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการวัดรังสี โดย ณ ปัจจุบันวัสดุซินทิลเลเตอร์ประเภทมัลติคอมโพเนนท์การ์เน็ตได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีค่ายีลด์แสงสูง ช่วงเวลาการสลายตัวสั้น ตลอดจนมีการปล่อยความยาวคลื่นแสงในช่วงที่เหมาะสมกับหัววัดแสงแบบใหม่ วัสดุซินทิลเลเตอร์แบบมัลติคอมโพแนนท์การ์เน็ต (มีสูตรทั่วไปคือ RE3(Al,Ga)5O12) ถูกพัฒนามาจากซินทิลเลชันแบบการ์เน็ตทั่วไป (มีสูตรทั่วไปคือ RE3Al5O12) โดยเพิ่ม Ga ลงไปแทนที่ Al ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลจากการเติม Ga ทำให้ขอบล่าง (bottom edge) ของ Conduction band ลดต่ำลงและกลืนกับดักอิเล็กตรอน (electron traps) ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การจับอิเล็กตรอนลดลง และเพิ่มค่ายีลด์แสง รวมถึงช่วงเวลาการสลายแสงเร็วขึ้น ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของวัสดุซินทิลเลเตอร์ชนิดนี้โดยการปรับอัตราส่วนของ Ga-Al หรือการเพิ่มสารชนิดอื่นเพื่อให้ได้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเหมาะสมกับการนำไปประยุกต์ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการผลิตหรือพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ ทั้งแบบที่เป็นผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส หรือแบบฟิล์มบางได้ แม้ว่า ณ ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มาจากเซรามิกส์ กระจก และฟิล์มบางอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบมูลค่าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกับวัสดุซินทิลเลเตอร์พบว่า วัสดุซินทิลเลเตอร์ที่นำมาใช้วัดทางด้านรังสีนั้นมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงในส่วนของเครื่องมือตรวจวัดรังสีที่เริ่มมีการใช้งานทางด้านตรวจวัด ตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการวัดรังสีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยในโครงการนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาวัสดุซินทิลเลเตอร์ต้นแบบ ทั้งผลึกเดี่ยว เซรามิกส์โปร่งใส และฟิล์มบาง และนำมาสร้างเป็นเครื่องมือวัดรังสีต้นแบบที่มีการใช้วัสดุซินทิลเลเตอร์ จากงานวิจัยครั้งนี้ ต่อไป
คำสำคัญ
- Luminescence
- Radiation shielding
- Scintillation
กลุ่มสาขาการวิจัยเชิงกลยุทธ์
ผลงานตีพิมพ์
ไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง