Member Stiffness of Standard Bolted Joint Member : Comparing Results Obtained by Analytical Methods and by Photoelasticity

Journal article


Authors/Editors


Strategic Research Themes

No matching items found.


Publication Details

Author listTienkul, Nuttapong;Pinit, Pichet

Publication year2016

JournalKMUTT Research and Development Journal (0125-278X)

Volume number39

Issue number4

Start page547

End page563

ISSN0125-278X

URLhttps://digital.lib.kmutt.ac.th/journal/loadfile.php?A_ID=821


Abstract

รอยต่อที่ยึดชิ้นส่วนด้วยสลักเกลียวซึ่งเป็นการจับยึดแบบชั่วคราวนั้นถูกใช้เพื่อให้การจับยึดชิ้นส่วนทางวิศวกรรม เป็นไปโดยง่ายและสะดวก เกณฑ์ความเสียหายของรอยต่อนี้ขึ้นอยู่กับค่าคงตัวความแข็งแกร่งของรอยต่อ ซึ่งแปรเปลี่ยนไปตามค่าความแข็งแกร่งของสลักเกลียวและค่าความแข็งแกร่งของชิ้นส่วนประกบ เนื่องด้วยค่าความแข็งแกร่งของชิ้นส่วนประกบเป็นตัวแปรที่หาค่าได้ค่อนข้างยาก บทความนี้จึงนำเสนอการหาและเปรียบเทียบค่าความแข็งแกร่งของชิ้นส่วนประกบที่คำนวณได้จากวิธีวิเคราะห์และวิธีโฟโตอิลาสติกซิตี ส่วนสำคัญของการได้มาซึ่งวิธีวิเคราะห์ที่ใช้ในการประมาณค่าความแข็งแกร่งของชิ้นส่วนประกบ คือ การกำหนดตำแหน่งของขอบความเค้นด้วยสมการเชิงเส้นตรงในฟังก์ชันของครึ่งหนึ่งของมุมกรวยยอดตัดชิ้นส่วนประกบทำจากเรซิ่นสองชิ้นมีรูปร่างตัวแอลที่มีขนาดเท่ากัน และมีรูสำหรับสวมสลักเกลียวหัวหกเหลี่ยมขนาดมาตรฐาน ISO M8 ĭ 1.25 mm ยาว 50 mm ชิ้นส่วนประกบได้รับแรงขัน ตึงเบื้องต้นตั้งแต่ 1250 N ถึง 2500 N โดยใช้ประแจวัดโมเมนต์บิดเป็นช่วงๆ ละ 125 N ในแต่ละช่วงดังกล่าว รอยต่อจะถูกวางไว้ในโพลาริสโคปแบบแสงโพลาไรซ์วงกลมเพื่อถ่ายภาพ ภาพสนามความเค้นที่เกิดขึ้นเนื่องจากการบีบอัดของสลักเกลียวและแป้นเกลียวแสดงให้เห็นว่าขอบของสนามความเค้นที่เป็นตัวแปรสำคัญในการหาค่าความแกร่งของชิ้นส่วนประกบมีความสัมพันธ์เชิงเส้นโค้งมากกว่าจะเป็นเส้นตรงที่สมมติไว้ในวิธีวิเคราะห์ การเปรียบเทียบค่าความแข็งแกร่งของชิ้นส่วนประกบระหว่างที่คำนวณได้จากวิธีวิเคราะห์ที่ครึ่งหนึ่งของมุมกรวยยอดตัดเท่า และค่าที่คำนวณ ได้จากวิธีที่นำเสนอแสดงให้เห็นว่ามีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามสมการที่ใช้หาค่าความแกร่งด้วยวิธีวิเคราะห์มีรูปแบบที่ง่ายต่อการใช้งานมากกว่าวิธีการที่ได้นำ เสนอ


Keywords

Member StiffnessNumerical Method of IntegrationPhotoelasticity


Last updated on 2022-06-01 at 15:34